บทที่ 12 5.1 การกลับมาของหานไท่หยาง
หรูหรงหาซื้อขมิ้นชันมาจากตลาดสมุนไพรในเมืองได้เป็นจำนวนมาก แม้นางจะสงสัยว่าคุณหนูของตนเองต้องการนำขมิ้นชันมาทำสิ่งใด แต่ก็มิกล้าเอ่ยถามออกไปด้วยเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องของตนที่ควรรู้
จางอวิ๋นซีรับห่อขมิ้นชันที่ยังเป็นแท่งมิได้หั่นออกเป็นแว่นหรือบดเป็นผงจากหรูหรง แม้ว่านางจะเป็นหมอสาวที่ใช้วิทยาการตะวันตกมาช่วยรักษาคน แต่เรื่องสมุนไพรนั้นเธอก็รู้มากอยู่มิใช่น้อย ทั้งสรรพคุณข้อดีและข้อเสียของสมุนไพรแต่ละชนิด นางล้วนศึกษามาอย่างละเอียดยิบจนจำได้ขึ้นใจ
สาเหตุที่นางให้หรูหรงหาซื้อขมิ้นชันมานี้ เพราะว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณช่วยบำรุงและรักษาเชื้อดื้อยาของผู้ที่เป็นวัณโรคปอดและวัณโรคร้ายแรงชนิดต่างๆ แต่ทว่าการใช้สมุนไพรในการแพทย์สมัยใหม่นั้นเป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น หากจางฮูหยินได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โอกาสหายจากวัณโรคปอดนั้นย่อมมีมากนัก
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าขมิ้นชันนี้ของดีนัก” จางอวิ๋นซีวางขมิ้นชันตรงหน้าหรูหรงพลางยิ้มกว้าง
หรูหรงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “อย่างไรหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซีเลี่ยงที่จะพูดถึงยุคปัจจุบันของนาง หญิงสาวกล่าวเพียงแค่สิ่งที่
กล่าวได้เท่านั้น
“ขมิ้นชันสามารถช่วยบรรเทาอาการดื้อยาของท่านแม่ได้”
หรูหรงนางไม่เข้าใจความหมายของคำว่าดื้อยานัก สังเกตได้จากคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมราวกับคนมีคำถามในใจ จางอวิ๋นซีจึงไขข้อข้องใจให้กับอีกฝ่าย
“อาการดื้อยาก็คือ การที่ยาตัวนั้นไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้วยังไงล่ะ ก็เลยจำเป็นต้องใช้ยาสมุนไพรตัวใหม่เพื่อลดอาการดื้อยา ซึ่งขมิ้นชันนี้ได้ผลดีนัก” จางอวิ๋นซียิ้ม
สีหน้าของหรูหรงราวกับร้อง ‘อ๋อ’ ทันที
“แล้วคุณหนูจะเอาให้ฮูหยินกินหรือเจ้าคะ”
จางอวิ๋นซียิ้มรับแทนการตอบหรูหรง “เดี๋ยวไปถึงบ้านแล้วเจ้าก็เอาขมิ้นชันนี้บดเป็นผงนะ ปั้นเป็นลูกกลอนให้ท่านแม่ข้า”
“แต่ว่าเหลือเพลาไม่มากแล้วนะเจ้าคะคุณหนู อีกไม่กี่ชั่วยามคุณหนูก็จะต้องไปร่วมงานล่องเรือชมบงกช ในวันพระราชสมภพของไทเฮา” หรูหรงเตือนขึ้นมา
“งานอะไรหรือ?” จางอวิ๋นซีนางไม่ยักจะจำได้ หรืออาจจะเป็นเพราะตอนที่นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ ความทรงจำเดิมก็หลุดหายไปกับเจ้าของร่างเดิมที่เธอสิงอยู่
หรูหรงอยากจะเอามือเขกศีรษะตนเองสักร้อยทีนัก
“เมื่อไม่กี่วันก่อนที่คุณหนูจะหายออกไปจากจวน ไทเฮาทรงส่งจดหมายมาเชิญคุณหนูและฮูหยินใหญ่กับทุกคนไปร่วมงานล่องเรือชมบงกชนะเจ้าคะ ข้าได้ยินข่าวลือหนาหูมาว่าฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกพระชายาให้กับองค์ชายแต่ละองค์ด้วยเจ้าค่ะ”
“คัดเลือกพระชายา?” จางอวิ๋นซีถาม
หรูหรงยิ้มน้อยๆ “คุณหนูเองก็ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่พระชายาเหมือนกันนะเจ้าคะ น่าจะเป็นท่านอ๋องไท่หยางแน่ๆ”
“เจ้าผู้ชายหน้าตายนั่นน่ะหรือ?!” จางอวิ๋นซีถามเสียงดัง นางเอามือกุมขมับ สุดท้ายแล้วเรื่องการคิดจับคลุมถุงชนก็ยังมีมาทุกยุคทุกสมัยจริงๆ
แต่ทว่าจางอวิ๋นซียังพอจะเข้าใจเรื่องขนบธรรมเนียมการแต่งงานกับบุตรสาวขุนนาง เพื่อรักษาฐานอำนาจและสืบทอดอำนาจทางราชวงศ์ให้มั่นคง แต่มีสิ่งเดียวที่นางไม่เข้าใจคือเหตุใดต้องเจาะจงถึงนางโดยเฉพาะ
หรูหรงมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย นางกลัวว่าจะมีคนของทางวังหลวงมาได้ยินและติฉินนินทาคุณหนูของนางได้ “คุณหนูอย่าเอ็ดดังไปสิเจ้าคะ หน้าต่างมีหูประตูมีช่องเจ้าค่ะ”
จางอวิ๋นซีปรับสีหน้าและอารมณ์ให้เป็นปกติ
“เจ้าอ๋องหน้าตายนั่นน่ะหรือที่เจ้าบอกว่าฮองเฮาหมายตาให้ข้า”
“ประมาณนั้นเจ้าค่ะ คุณหนูเป็นที่โปรดปรานของไทเฮากับฮองเฮามาก และก็อาจเป็นอีกประเด็นที่ฮูหยินรองกับคุณหนูใหญ่ชอบรังแกคุณหนู” หรูหรงพูด
“เจ้านี่ก็รู้เยอะเหมือนกันเนอะ” หรูหรงยิ้มแหยๆ กับคำกล่าวกึ่ง
ประชดของผู้เป็นนาย
“ก็นิดหน่อยเจ้าค่ะ เมื่อก่อนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนูบ่าวจะเป็นคนช่วยจัดการทั้งหมด แต่ตอนนี้คุณหนูฟื้นมาดูแลตัวเองได้ บ่าวก็ดีใจนักเจ้าค่ะ” หรูหรงยิ้มพลางจับมือของจางอวิ๋นซีอย่างออดอ้อน หลังจากนั้นพวกนางทั้งสองจึงออกจากโรงน้ำชากลับจวนสกุลจาง
ตำหนักคุนหนิง
หานไท่หยางเดินทางกลับมาถึงพระราชวังในยามบ่ายคล้อย เฉินหรงทำหน้าที่นำอาชาคู่ใจไปพักที่โรงม้าหลวง ส่วนตนเองนั้นเดินทางมาเข้าเฝ้าพระราชมารดาที่ตำหนักพระราชฐานฝ่ายใน ซึ่งมีตำหนักคุนหนิงเป็นตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในเขตวังหลัง
หลิวฮองเฮากำลังปักอาภรณ์ลายประณีตงดงาม พระนางทรงตั้งใจจะพระราชทานอาภรณ์นี้ให้เป็นของขวัญหากหานไท่หยางได้อภิเษกจางอวิ๋นซีมาเป็นพระชายาเอก
“เสด็จแม่...” หานไท่หยางกล่าวเรียกพระมารดาด้วยความดีใจ นานนับเกือบปีแล้วที่เขาไม่ได้พบพระมารดา มีเพียงแค่ผ้าเช็ดหน้าที่พระมารดาเย็บปักให้เท่านั้นที่เป็นสิ่งของแสดงแทนความคิดถึงและความห่วงใย ชายหนุ่มสวมกอดผู้เป็นมารดาแน่น ราวกับต้องการซึมซับไออุ่นจากอ้อมกอดพระมารดาที่เขาโหยหามานาน
เขาจากบ้านเมือง จากพระมารดาไปนานนับปี ความคิดถึงที่เฝ้าสั่งสมมาจึงถูกระบายพร้อมกับอ้อมกอดอันอบอุ่นนี้
หลิวฮองเฮาคลายอ้อมกอดเบาๆ พระนางทรงมองพระโอรสองค์เดียวด้วยสายตาแห่งความคิดถึงห่วงหา “อยู่ที่ซ่างจิ่ง เจ้าสบายดีหรือไม่”
น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาสั่นเครือยามได้สัมผัสบุตรชายอีกครั้ง ฝ่ามืออันสั่นเทาของพระนางลูบพระพักตร์ผู้เป็นโอรสอย่างรักใคร่ถนอม
“กระหม่อมสบายดีพะยะค่ะ แล้วเสด็จย่ากับเสด็จแม่เล่าพะยะค่ะ ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” หานไท่หยางถามถึงไทเฮาผู้เป็นพระอัยยิกาแท้ๆ ของตน
